Fri, 26 August 2016
หลักการคือ สิ่งที่เราจะไปรู้ อย่าเพ่ง แล้วไม่เพ่งจะสงบหรือ สงบได้สิ เพราะเราอยู่กับสิ่งที่เป็นอารมณ์เดียวอยู่ตลอดเวลา แต่ใจที่ไปอยู่อย่าเพ่ง ใจเพ่งก็ได้เพ่ง ใจรู้สึกก็ได้รู้สึก เพราะใจรู้สึกจะพลิกไปเป็นใจรู้ตื่นเบิกบานได้ ถ้าเพ่งก็จะกดอยู่อย่างนั้น ก็ต้องมาแก้ ว่าทำไงให้มารู้ตื่นเบิกบาน ถ้าเพ่งมากก็พลิกยาก ต้องมาพิจารณา ใช้ความคิดให้ลงสู่ไตรลักษณ์ ต้องใช้เวลามหาศาล เพื่อให้ใจที่เพ่งพลิกเป็นใจผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานขึ้นมา แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น เพราะงั้นให้เรารู้สึก เอาความรู้สึกไปสัมผัส จิตจะเคลื่อนไหว มันจะไม่อยู่ตรงนี้ตลอดเวลา แต่อยู่แล้วจะแฉลบออกไปเผลอ หน้าที่เราคือ รู้ว่ามันเผลอไป แล้วมีเจตนามารู้ใหม่ ถามว่ามีเจตนามั้ย มีเจตนา แต่เจตนาให้น้อยที่สุด น้อยแค่รู้สึก มีการน้อมจิตเล็กน้อยไปแค่รู้สึก เพราะมันต้องมีเจตนาทำ แต่เมื่อสุดท้าย สติที่แท้จริงเกิด มันจะพ้นเจตนา แล้วความรู้สึกที่แท้จริงจะออกมา - ทันตแพทย์ณัฏฐ์ ศรีวชิรวัฒน์ - หลักสูตร "รู้กาย รู้ใจ พื้นฐานสู่ความรู้แจ้ง" จ.กระบี่ (nat590604) |
Fri, 26 August 2016
รู้ว่าหลง รู้ว่าเผลอ แว้บหนึ่ง สติเกิด ตรงนั้น แค่ช่วงสั้นๆ แว้บเดียวที่รู้ว่าหลงไปตอนนั้น มันมีทั้งศีล ทั้งสมาธิ และได้เจริญปัญญาอัตโนมัติเลย เพราะแว้บตรงน้้น มันจะเห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลง ของจิตที่ "หลง" กับจิตที่ "รู้" ตรงนี้คือการเดินปัญญาอัตโนมัติ |
Fri, 26 August 2016
"เราต้องค่อยๆ สังเกตตัวเองนะว่า เรามีจิตตั้งมั่นได้บ่อยไหม เราดูสภาวะแล้วเราเป็นกลางได้ไหม แต่ไม่ได้แปลว่า ต้องทำตัวให้เป็นกลางนะ การปฏิบัติธรรม เราจะไม่ทำโน่นทำนี่อะไรขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เราจะปฏิบัติก็คือ เราจะต้องมีสติ แล้วก็รู้สภาวะธรรมนั้นตามความเป็นจริง แรกๆ อาจจะยังไม่เห็นความเป็นจริง แต่ว่าเราดูมันที่มันเป็นอยู่นั่นแหละ ดูไปตามที่มันเป็นอยู่ หัดดูไปเรื่อยๆ จิตก็จะค่อยๆ มีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา พอตั้งมั่นขึ้นมาแล้วก็หัดดูบ่อยๆ เราก็จะเห็นความชอบ ความไม่ชอบ ความเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งของจิตเรา ซึ่งมันมีลักษณะของความไม่เป็นกลาง แค่เห็นว่ามันไม่เป็นกลาง แค่เห็นว่ามันชอบ ไม่ชอบ ต่อไปมันจะพัฒนาไปสู่ความเป็นกลางของมันได้เอง" |